เกิด วันที่ 14 มีนาคม ค.ศ.1879 ที่เมืองอูล์ม (Ulm) ประเทศเยอรมนี (Germany)
เสียชีวิต วันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ.1955 ที่เมืองนิวเจอร์ซี่ (New
Jersey) ประเทศสหรัฐอเมริกา
(United State of America)
ผลงาน -
ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพ (Theory
of Relativity)
-
ค้นพบทฤษฎีการแผ่รังสี (Photoelectric
Effect Theory)
-
ได้รับรางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์
ในปี ค.ศ.1921
ในบรรดานักวิทยาศาสตร์ในช่วงศตวรรษที่ 19-20 ไอน์สไตน์ถือว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด
อาจกล่าวได้ว่า เขาคือผู้ยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยระเบิดปรมาณูอันทรงอานุภาพ
เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น ไอน์สไตน์ได้ส่งจดหมายถึงประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. รูสเวลท์ (Franklin
Delano Roosevelt) เกี่ยวกับแร่ยูเรเนียมที่สามารถนำมาสร้างลูกระเบิดซึ่งมีพลังงานการทำลายล้างรุนแรง
เพื่อบังคับให้ญี่ปุ่นประกาศแพ้สงคราม และนำสันติภาพ มาสู่โลกอีกครั้ง
ฝ่ายสัมพันธมิตรจึงตกลงทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกของโลกลงที่เมืองฮิโรชิมา (Hiroshima)
ประเทศญี่ปุ่น
ซึ่งส่งผลให้คนเสียชีวิตทันทีกว่า 60,000 คน และเสียชีวิตภายหลังอีกกว่า 100,000
คน
ไอน์สไตน์เกิดเมื่อวันที่ 14 มีนาคม ค.ศ.1879 ที่เมืองอูล์ม ประเทศเยอรมนี
ไอน์สไตน์เป็นชาวเยอรมันแต่ก็มีเชื้อสายยิว
บิดาของไอน์สไตน์เป็นเจ้าของร้านจำหน่ายเครื่องยนต์และสารเคมี ชื่อว่า เฮอร์แมน
ไอน์สไตน์ (Herman Einstein) ต่อมาเมื่อไอน์สไตน์อายุได้ 1 ขวบ บิดาได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองมิวนิค
ซึ่งส่วนใหญ่คนในเมืองจะเป็นชาวยิวเช่นเดียวกับเขา
ทำให้เขาไม่มีปัญหากับเพื่อนบ้าน ไอน์สไตน์เป็นเด็กที่เงียบขรึม
ไม่ค่อยชอบออกไปเล่นกับเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกัน จนบิดาเข้าใจว่าเขาเป็นคนโง่
จึงได้จ้างครูมาสอนพิเศษให้กับไอน์สไตน์ โดยเฉพาะเรื่องการพูด
ถึงแม้ว่าการพูดของเขาจะดีขึ้น แต่เขาก็ยังเงียบขรึม
และไม่ออกไปเล่นกับเพื่อนเหมือนเช่นเคย เมื่อไอน์สไตน์อายุได้ 5 ขวบ
บิดาได้ส่งเข้าโรงเรียนที่ยิมเนเซียม (Gymnasium) นักเรียนในโรงเรียนแห่งนี้ทั้งหมดเป็นชาวเยอรมัน
และนับถือศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก
ถึงอย่างนั้นไอน์สไตน์ก็เข้ากับเพื่อนได้ดี
แต่สิ่งที่เขาไม่ชอบมากที่สุดในโรงเรียน ก็คือการสอนที่น่าเบื่อและเกลี่ยดที่สุด
ที่ใช้วิธีการท่องจำเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ไอน์สไตน์ไม่อยากไปโรงเรียน มารดาจึงหาวิธีแก้ปัญหาโดยการให้เขาเรียนไวโอลินและเปียโนแทน
แต่วิชาที่ ไอน์สไตน์ให้ความสนใจมากที่สุดคือ คณิตศาสตร์
โดยเฉพาะวิชาเรขาคณิตเป็นวิชาที่เขาชอบมากที่สุด ทำให้เขาละทิ้งวิชาอื่น
ยกเว้นคณิตศาสตร์ ถึงแม้ว่าจะทำคะแนนวิชาคณิตศาสตร์ได้ดี
เขาก็มักจะถูกครูตำหนิอยู่เสมอ
ต่อมาเมื่อไอน์สไตน์อายุได้ 15 ปี
กิจการโรงงานของพ่อเริ่มแย่ลง
เนื่องจากการรวมตัวของบริษัทผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าและเคมีหลายแห่ง
ทำให้โรงงานของพ่อเขาไม่สามารถจำหน่ายสินค้าได้
ครอบครัวของเขาต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองมิลาน (Milan) ประเทศอิตาลี (Italy) แต่ไอน์สไตน์ไม่ได้ย้ายตามไปด้วย
เพราะยังติดเรียนอยู่ หลังจากนั้นอีก 6 เดือน
เขาได้วางแผนให้แพทย์ออกใบรับรองว่าเขาป่วยเป็นโรคประสาท
เพื่อให้เขาได้เดินทางไปหาพ่อกับแม่ที่อิตาลี ไอน์สไตน์จึงเดินทางไปหาครอบครัว
ต่อมาไอน์สไตน์ได้สอบเข้าเรียนต่อวิชาคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ ที่วิทยาลัยโปลีเทคนิค
เมืองซูริค (Federal Poleytechnic of Zurich) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ไอน์สไตน์สอบวิชาคณิตศาสตร์ได้คะแนนดีมาก ส่วนวิชาชีววิทยาและภาษา ได้แย่มาก ทำให้
เขาไม่ได้รับคัดเลือกให้เข้าเรียนในวิทยาลัยแห่งนี้
ต่อมาเขาได้รับจดหมายจากครูใหญ่ของวิทยาลัยโปลีเทคนิค
ได้เชิญเขาไปพบและแนะนำให้เขาไปเรียนต่อ เพื่อให้ได้ประการศนียบัตร
หลังจากนั้นเขาจึงเข้าเรียนที่วิทยาลัยของสวิตเซอร์แลนด์ ตามหลักสูตร 1 ปี
ระหว่างนี้เขาได้พักอาศัยอยู่กับครูผู้หนึ่งที่สอนอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้
ไอน์สโตน์รู้สึกชอบวิทยาลัยแห่งนี้มาก เพราะการเรียนการสอนเป็นอิสระไม่บังคับ
แนวการสอนเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนได้เรียนรู้ตามความสามารถของตน
นอกจากนี้สภาพแวดล้อมในการเรียนก็ดีมาก
เพราะได้มีการจัดห้องเรียนเฉพาะสำหรับแต่ละวิชา เช่น
ห้องเรียนภูมิศาสตร์ก็มีภาพแผนที่ สถานที่ต่าง ๆ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
แขวนไว้ โดยรอบห้อง ส่วนห้องเคมีก็มีอุปกรณ์ในการทดลองวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัย
หลังจากที่เขาจบหลักสูตรที่โรงเรียนมัธยม 1 ปี
ไอน์สไตน์ได้เข้าเรียนต่อที่วิทยาลัยเทคนิคในสาขาวิชาฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ตามที่ได้ตั้งใจไว้
หลังจากจบการศึกษาแล้ว ไอน์สไตน์ได้สมัครเข้าทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยแห่งเมืองซูริค
แต่ได้รับการปฏิเสธโดยไม่มีเหตุผล
และด้วยความเห็นใจจากศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยซูริคได้ออกใบรับรองผลการศึกษาให้เข้า
จากนั้นไอน์สไตน์ได้เริ่มออกหางานทำจากประกาศตามหน้าหนังสือพิมพ์ซึ่งมีประกาศรับอาจารย์หลายแห่ง
ไอน์สไตน์ได้เข้ารับการสัมภาษณ์
แต่ปรากฏว่าไม่มีสถาบันแห่งใดรับเขาเข้าทำงานเลยแม้แต่สักที่เดียว
ไอน์สไตน์เข้าใจว่าอาจจะเป็นเพราะเขาเป็นชาวยิว ดังนั้นในปี ค.ศ.1901 ไอน์สไตน์ได้โอนสัญชาติเป็นชาวสวิตเซอร์แลนด์
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถทำให้เขาหางานทำได้อยู่ดี
ในที่สุดไอน์สไตน์ก็ได้งานทำเป็นครูในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง
แต่ก็ทำอยู่ได้เพียงไม่กี่เดือนก็ถูกไล่ออก เขาจึงรับจ้างเป็นครูสอนพิเศษตามบ้าน
แต่ก็ทำได้ไม่นานก็ถูกพ่อแม่ของเด็กเลิกจ้างอีก
เนื่องจากไอน์สไตน์ได้แสดงความคิดเห็นว่าไม่ควรให้เด็กไปเรียนที่โรงเรียนอีก
เนื่องจากครูที่โรงเรียนสอนคณิตศาสตร์ในแบบผิด ๆ
ซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่ไอน์สไตน์สอน ถึงแม้ว่าเด็ก ๆ จะรักและชอบ
วิธีการสอนของเขาก็ตาม
ต่อมาในปี ค.ศ.1902 ไอน์สไตน์ได้เจอกับเพื่อนเก่าคนหนึ่งได้ฝากงานที่สำนักงานจดทะเบียนสิทธิบัตรที่กรุงเบิร์น
ถึงแม้ว่าไอน์สไตน์จะไม่ชอบงานที่นี่ แต่เขาก็ยังคงทำ
จึงทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเขาดีขึ้น และมีโอกาสได้พบกับสิ่งประดิษฐ์ที่แปลกใหม่
ในระหว่างที่ไอน์สไตน์ทำงานอยู่ที่นี่ เขาได้ใช้เวลาส่วนหนึ่งไปกับการประดิษฐ์สิ่งของ
สิ่งประดิษฐ์ชิ้นแรกของไอน์สไตน์คือ "เครื่องมือบันทึกการวัดกระแสไฟฟ้า"
ในปี ค.ศ.1903 ไอน์สไตน์ได้แต่งงานกับมิเลวา มารี
เพื่อนเก่าสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งเมืองซูริค
และในปีเดียวกันนี้เขาได้เขียนบทความเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ให้กับนิตยสารเยอรมนีฉบับหนึ่ง
และในปี ค.ศ.1905 บทความเรื่องของไอน์สไตน์ก็ได้รับความสนใจ
และยกย่องอย่างมาก บทความเรื่องนี้เป็นของทฤษฎีสัมพัทธภาพ (Theory
of Relativity) ซึ่งอธิบายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพลังงาน
กับมวลสาร
โดยเขียนเป็นสูตรได้ดังนี้ E = mc2 โดย
E (Energy) = พลังงาน
m (mass) = มวลสารของวัตถุ
c = ความเร็วแสง
ทฤษฎีสัมพัทธภาพนี้เองต่อมาได้นำไปสู่การค้นคว้าเรื่อง
"พลังงานปรมาณู"
เพราะทฤษฎีนี้อธิบายว่ามวลเพียงเล็กน้อยของแร่ชนิดหนึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานมหาศาลที่ใช้ในโรงงานไฟฟ้าขนาดใหญ่ได้อย่างสบาย
ในระยะแรกที่ไอน์สไตน์เผยแพร่ผลงานชิ้นนี้ ผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจนัก
แต่เมื่อไอน์สไตน์อธิบายให้ฟังด้วยวิธีง่าย ๆ ก็เกิดความเข้าใจมากขึ้น
และจากผลงานชิ้นนี้ทำให้เขาได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตขั้นเกียรตินิยมสูงสุด
ในปี ค.ศ.1909 เขาได้รับเชิญให้เป็นศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยซูริค
(Zurich University) ซึ่งไอน์สไตน์ตอบรับทันทีเนื่องจากเขาต้องการแสดงให้ทุกคนได้เห็นถึงความสามารถของเขา
ซึ่งมหาวิทยาลัยแห่งนี้เคยปฏิเสธเขามาแล้ว
ในปี ค.ศ.1911 ไอน์สไตน์ได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์สอนวิชาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยปราค
(Prague) ในปีต่อมาไอน์สไตน์ได้รับเชิญจากวิทยาลัยเทคนิค
ซึ่งเป็นโรงเรียนเก่าของเขา
ไอน์สไตน์ตกลงทันทีเนื่องจากเขาต้องการพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นถึงความสำคัญของเขา
ในระหว่างนี้มีมหาวิทยาลัยและสถาบันต่าง ๆ อีกหลายแห่งเชิญเขาไปสอน แต่เขาก็ปฏิเสธ
และเขาได้ตอบรับเป็นศาสตราจารย์พิเศษสอนที่สถาบันไกเซอร์วิลเฮล์ม (Kaiser
Wilhelm Institute) การที่เขาตอบรับครั้งนี้
เนื่องจากการได้สนทนากับพระเจ้าไกเซอร์ ผู้ก่อตั้งสถาบันแห่งนี้
ไอน์สไตน์รู้สึกถูกอัธยาศัย ประกอบกับความสนใจในเรื่องวิทยาศาสตร์เช่นเดียวกัน
และต่อมาอีก 2 ปี
ไอน์สไตน์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการประจำสถาบันแห่งนี้
ในปี ค.ศ.1914 ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้น
ทำให้เกิดความวุ่นวายโดยเฉพาะในยุโรป แต่ถึงอย่างนั้นในปี ค.ศ.1915 ไอน์สไตน์ก็ยังทำการค้นคว้าเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์
และออกตีพิมพ์หนังสืออกมาเล่มหนึ่งชื่อว่า "ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป (General
Theory of Relativity)" ซึ่งเป็นทฤษฎีที่หลายคนก็ไม่เข้าใจในทฤษฎีข้อนี้
แต่ด้วยความที่ไอน์สไตน์เป็นคนสุขุมเยือกเย็น
เขาได้อธิบายเกี่ยวกับทฤษฎีในหลายลักษณะเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นโดยสมมติว่า
มีรถไฟ 2 ขบวน
ขบวนหนึ่งจอดอยู่กับที่ อีกขบวนหนึ่งกำลังวิ่งสวนทางไป
ผู้โดยสารที่อยู่บนรถไฟที่จอดอยู่อาจจะรู้สึกว่ารถไฟกำลังวิ่งอยู่ เพราะฉะนั้น
อัตราเร็วและทิศทาง จึงมีความเกี่ยวข้องกัน
ในปี ค.ศ.1921 ไอน์สไตน์ได้เสนอผลงานออกมาอีกชิ้นหนึ่ง คือ
"ทฤษฎีการแผ่รังสี (Photoelectric Effect Theory)" ผลงานชิ้นนี้เองทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์
และรางวัลจากอีกหลายสถาบัน เช่น
- ค.ศ.1925 ได้รับเหรียญคอพเลย์
จากราชสมาคมแห่งกรุงลอนดอน
- ค.ศ.1926 ได้รับเหรียญทองราชดาราศาตร์
- ค.ศ.1931 ดำรงตำแหน่งนักค้นคว้าของวิทยาลัยไครสต์เชิร์ช
แห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด
- ค.ศ.1933 เขาได้รับเชิญจากประเทศสหรัฐอเมริกาให้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีของสถาบันบัณฑิตวิทยาลัยของมหาวิทยาลัยพรินส์ตัน
ที่รัฐนิวเจอร์ซี่ (Institute for Advance Study at Princeton, New Jersey)
นอกจากนี้ทฤษฎีของเขายังสามารถล้มล้างทฤษฎีของจอห์น
ดาลตัน (John Dalton) นักฟิสิกส์และเคมีชาวอังกฤษที่ว่า "สสารย่อมไม่สูญหายไปจากโลก
เพราะอะตอมเป็นส่วนที่เล็กที่สุดของสสาร ซึ่งไม่สามารถจะแยกออกไปได้อีก"
แต่ไอน์สไตน์ได้กล่าวว่า "สสารย่อมมีการสูญสลาย
นอกจากพลังงานเท่านั้นที่จะไม่สูญหาย"
เพราะพลังงานเกิดขึ้นจากการสสารที่หายไป และอะตอมไม่ใช่ส่วนที่เล็กที่สุดของสสาร
เพราะฉะนั้นจึงสามารถแยกออกได้อีก
ในปี ค.ศ.1939 ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น
ไอน์สไตน์รู้สึกเสียใจมาก เนื่องจากเยอรมนีในฐานะผู้ก่อสงคราม
และมีฮิตเลอร์เป็นผู้นำ ฮิตเลอร์รังเกียจชาวยิว
และกล่าวหาชาวยิวว่าเบียดเบียนชาวเยอรมันในการประกอบอาชีพ แต่ไอน์สไตน์
ก็ยังโชคดีเพราะว่าก่อนหน้านี้ ในปี ค.ศ.1933 ได้อพยพออกจากเยอรมนี
เพราะในขณะนั้นฮิตเลอร์ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเยอรมนี และเริ่มขับไล่ชาวยิวออกจากเยอรมนีตั้งแต่ปี
ค.ศ.1932 ไอน์สไตน์เห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนักจึงเดินทางออกมา
แต่ยังมีชาวยิวกว่า 2,000,000 คน
ที่ยังอยู่ในเยอรมนีและถูกสังหารไปกว่า 1,000,000 คน
สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นสงครามที่ยืดเยื้อนานกว่า 6 ปี โดยแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายสัมพันธมิตร
ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศษ และรัสเซีย และฝ่ายอักษะ ได้แก่
เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น ต่อมาช่วงกลางปี ค.ศ.1945 เยอรมนี
และอิตาลีได้ยอมแพ้สงครามเหลือเพียงแต่ญี่ปุ่นประเทศเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ยอมแพ้ ฝ่ายสัมพันธมิตรจึงตัดสินใจทิ้งลูกระเบิดปรมาณู
เพื่อบังคับให้ญี่ปุ่นยอมแพ้สงคราม
ระเบิดปรมาณูได้ทดลองสร้างขึ้นในระหว่างสงครามครั้งนี้
ซึ่งมีไอน์สไตน์เป็นผู้ริเริ่มและควบคุมการผลิต
ลูกระเบิดปรมาณูลูกแรกของโลกได้ทำการทดลองทิ้งลงที่เมืองฮิโรชิมา ในวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ.1945 ทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายกว่า 150,000
คน
แต่ญี่ปุ่นยังไม่ประกาศยอมแพ้ ดังนั้นฝ่ายสัมพันธมิตรจึงตัดสินใจทิ้งระเบิดอีก 1 ลูก ที่เมืองนางาซากิ (Nagasaki)
ในวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1945 ทำให้มีผู้เสียชีวิตอีกกว่า 100,000
คน เช่นกัน ลูกระเบิด 2 ลูกนี้ ทำให้ญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามและปิดฉากสงครามโลกครั้งที่
2 ลง
ไอน์สไตน์เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวายเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ.1955 หลังจากที่ไอน์สไตน์เสียชีวิตไปแล้วมีการสร้างอนุสาวรีย์รูปไอน์สไตน์ครึ่งตัวขึ้นภายในสถาบันฟิสิกส์
แห่งกรุงเบอร์ลิน เรียกว่า หอคอยไอน์สไตน์ เพื่อระลึกถึงความสามารถของเขา